วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

อดิเรก...

ชื่อเรื่องว่า อดิเรก...
คงเป็นชื่อที่ซ้ำๆ กับเรื่องที่เคยเขียน(ที่อื่น)ผ่านๆ มา แต่เนื้อหาก็คงไม่เหมือนกัน บางทีนึกชื่อเรื่องก็ซ้ำๆ วนไปวนมา เหมือน การตั้งชื่อคน(มั๊ง) น้อยคนที่จะไม่มีเพื่อน... คือคนอื่นที่ตั้งชื่อเหมือนเรา ตั้งชื่อเป็นเพื่อนเรา ;-)

อดิเรก ที่จริงแปลว่า พิเศษ... คล้ายๆ Extra- (น่าจะพอได้)
สำหรับพระมหากษัตริย์ก็จะมี ถวายพระพร ถวายอดิเรก ...ทำไมต้องถวายอดิเรก อันนี้ก็มีที่มาที่ไป ลองถาม google ได้ครับ ;-)  ถวายอดิเรก ก็คือถวายพระพรเหมือนกัน แต่เป็นพรพิเศษ ... เหมือนกับเป็นพร VIP ...  (อธิบายในสิ่งที่ไม่รู้ ให้ใช้ภาษาต่างประเทศไว้ก่อน เพราะชวนให้ผู้อ่านงง เข้าว่า ;-) ในด้านพิธีกรรมก็ถือว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ครับ (แน่ะ! ที่เหลือบอกว่าถาม google ;-)

แต่อดิเรกสำหรับหัวเรื่องนี้ หรือหัวเรื่องที่ผ่านมาแล้ว(ที่อื่น) จะตั้งใจให้ความหมายในภาพของคำว่า งานอดิเรก ซะมากกว่า เหมือนกับว่าเป็นการเขียนเรื่องทั่วๆ ไป สัพเพเหระ เรื่อยเปื่อย ฯลฯ ทำนองนี้มากกว่า

Blog ของตัวเองครั้งแรก ส่วนตัวถือว่า เริ่มเขียน blog แบบสาธารณะจริงๆ นั้นเริ่มที่ Mblog ที่เว็บข่าวผู้จัดการ เพราะตอนนั้นรู้สึกว่า มันเป็นพื้นที่ที่โล่งโจ่ง สมาชิกก็ประมาณวัยทำงาน การเขียนก็ไม่สวิงสวาย รูปแบบของ Blog ก็เหมือนดูทีวี ขาว-ดำ โทนสีพื้นๆ เรื่องราวของคนอื่นๆ ก็นัวเนีย...

นัวเนีย...คือ คละเคล้ากันไป มีทั้ง อกหัก รักคุด น้ำเน่า เล่านิทาน ขานกลอน สอนภาษา สารคดี วิถีชีวิต ฯลฯ แต่โทนออกทางผู้ใหญ่ๆ หน่อย ไม่ใช่วัยรุ่นกรี๊ดกร๊าด ...  ก็เลยชอบบรรยากาศ ว่ามันเรื่อยๆ เอื่อยๆ ดี ก็เลยลงหลักปักฐานที่นั้น เรียกว่าเป็นทางการก็แล้วกัน ที่อื่นๆ ก็เป็นสมาชิกบ้าง ก็สมัครไปเรื่อย เหมือนลองเล่น ลองใช้ ระบบต่างๆ แต่ก็ไม่ได้เขียนจริงจัง เท่ากับที่ Mblog

ในวันนี้ Mblog ก็เปลี่ยนแปลง พัฒนา ปรับปรุง เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย สมาชิกมากหน้าหลายตา?? (สองตาก็ถือว่ามาก ;-) แวะเวียนผ่านเข้ามา ซึ่งจริงๆ Mblog ก็พัฒนาปรับปรุงมาเรื่อยๆ กว่าจะถึงวันนี้

เมื่อความเปลียนแปลงเป็นไปเกิดขึ้น บางทีก็รู้สึกว่า มันไม่ใช่... ไม่ใช่พื้นที่ที่เราจะดำรงอยู่ต่อไป เพียงแต่อาจจะเสียดายบรรยากาศเก่าๆ ซึ่งมันไม่ได้หมายถึงว่า สิ่งใหม่ๆ นั้นไม่ดี ไม่ได้หมายถึงสมาชิกใหม่ ไม่ได้หมายถึงองค์ประกอบของ Blog ใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้คงไม่ใช่สาเหตุของความรู้สึกว่า ไม่ใช่...   แต่บรรยากาศในที่นี้คงหมายถึงภาพรวม ...อาจจะเป็นความรู้สึก โดยรวม ที่มีต่อ Mblog มากกว่า

...อีกอย่างที่ยังเขียนอยู่ อาจเพราะยังนึกไม่ออกว่าจะไปเขียนที่ไหน??? ;-DP

พอดีได้ย้อนมาเจอที่นี่ blogger.com ซึ่งก็เคยลองเคยเล่น เคยเขียนเรื่องราว testๆ ทดสอบๆ ทิ้งๆ ขว้างมาตั้งนานแล้วแหละ เห็นว่า...เออ! ที่นี่มันป้าช้าชัดๆ ดีๆ นี่เอง ??? เอาไว้เขียนเอง อ่านเองได้ เอกเขนกสบายๆ ได้บรรยากาศเก่าๆ นึกอยากจะเขียนก็เขียน ...ได้อารมณ์เหมือนช่วงแรกๆ ก่อนที่จะเขียนที่ Mblog ก็เลย...เอาล่ะว่ะ มีที่พร่ำเพ้อ ละเมอพก หรือที่เพ้อพก ละเมอพร่ำ อืมมมม... พอได้ๆๆๆ ;-)

ก็เห็นทีจะมาเพิ่มมลภาวะทางตัวอักษรไว้ที่นี่แทนล่ะกระมัง ;-D


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Version : ทดสอบ Hallo เตส!

2 ความคิดเห็น:

  1. สงสัยมาตั้งนาน "ถวายอดิเรก" "ถวายพระพรลา" อ่านเรื่องปุ๊ป ก็ลองค้นหาจากน้องGoo เลยทำให้เข้าใจยิ่งขึ้น ;-) แต่สิ่งที่เจ้าบ้านเขียนดีนะ เหมือนมีคนมาช่วยตอบข้อสงสัยที่สงสัยมาตั้งนานแต่ไม่คิดจะหาคำตอบ ;-(

    --------------
    การถวายอดิเรก

    หน้าต่างศาสนา
    ถ้าจะสังเกตให้ดีมักจะได้ยินคำว่า “ถวายอดิเรก” จากข่าวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่องต่างๆ เสมอๆ เช่นว่า

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนบูชาพระสยามเทวาธิราช แล้วเสด็จพระราชดำเนินออกพระที่นั่ง อมรินทรวินิจฉัย พระสงฆ์ ๖๐ รูป เจริญพระพุทธมนต์ พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาจบแล้ว สมเด็จพระราชาคณะ ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรถยนต์พระที่นั่งที่พระทวารเทเวศรักษา เสด็จพระราชดำเนินกลับ

    การถวายอดิเรก ที่มักจะได้ยินอยู่บ่อยๆ นั้น เข้าใจกันโดยง่ายก็คือการถวายพระพรพระเจ้าแผ่นดิน หรือสมเด็จพระบรมราชินี ที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่างๆ ผู้ถวายก็คือพระสงฆ์รูปที่เป็นประธานกล่าวรูปเดียวและทั้งยังต้องดำรงตำแหน่งสมณศักดิ์ชั้นพระราชาคณะ จึงกล่าวถวายได้ หากต่ำกว่า ถือว่าไม่ต้องด้วยพระราชนิยม คำกล่าวถวายอดิเรกส่วนมากเป็นภาษาบาลี มีภาษาไทยอยู่ตอนท้าย คำกล่าว ถวายมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ

    ๑. ถวายเฉพาะสมเด็จพระบรมบพิธพระราชสมภารเจ้าพระองค์เดียว ในงานพระราชพิธีทั่วไปจะเสด็จประทับหรือแม้มิได้ประทับก็ตาม ตลอดจนทางพระราชกุศลของหลวง เช่น งานพระราชทานผ้าพระกฐินให้กระทรวง ทบวงกรม บริษัท ห้างร้าน แม้ตลอดถึงเอกชนที่มีจิตศรัทธา ขอรับพระราชทานไปถวายยังพระอารามหลวงต่างๆ ในส่วนกลางและภูมิภาค

    ๒. ถวายสมเด็จพระบรมบพิธพระราชสมภารเจ้าในเวลาประทับพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

    ๓. ถวายเฉพาะสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

    เกี่ยวกับความเป็นมาของการถวายอดิเรกนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงกล่าวไว้ใน “สาส์นสมเด็จ” ซึ่งเป็นจดหมายไปหาโต้ตอบกับสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ใจความว่า การถวายอดิเรกแต่เดิมนั้น เป็นการถวายเฉพาะองค์พระเจ้าแผ่นดิน และเฉพาะหน้าพระที่นั่งของพระเจ้าแผ่นดิน แม้ยังไม่ได้ราชาภิเษก ก็ถวายอดิเรก ถึงรัชกาลที่ ๔ ได้ทรงแก้ไป ประเพณีการถวายอดิเรกจึงเปลี่ยนแปลงใหม่บ้าง โดยให้ถวายได้ ต่อเมื่อเจ้านายพระองค์นั้นได้ราชาภิเษกแล้ว ต่อมาสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงแก้ไขอีกว่า ถ้าเป็นงานหลวง ถึงลับหลังพระที่นั่ง (ในหลวงไม่อยู่ ณ ที่นั่น) ก็ให้ถวายได้ ซึ่งเราก็ยังคงใช้ปฏิบัติกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้

    ดังนั้น “ถวายอดิเรก” จึงเป็นคำที่หมายถึง “การถวายพระพร” พระเจ้าแผ่นดินหรือสมเด็จพระบรมราชินีนาถ นั่นเองครับ

    ปราณสุวีร์ อาวอร่ามรัศมิ์ / กองพุทธสารนิเทศ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

    ตอบลบ
  2. (เพิ่มเติม)

    พระอุดมปิฎก นามเดิม สอน นามฉายา พุทฺธสโร เป็นชาวจังหวัดพัทลุง ได้เข้ามาพักอาศัยอยู่ ณ วัดหนัง เขตบางขุนเทียน(ปัจจุบันจอมทอง) ได้มาศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมอยู่ที่วัดหงสาราม ปัจจุบันเป็นวัดหงส์รัตนาราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ภายหลังได้ย้ายมาอยู่วัดหงสาราม และเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดหงสาราม รูปที่ 5 เป็นเปรียญธรรม 9 ประโยค

    พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงรู้จักและคุ้นเคยเป็นอันดี ตั้งแต่ครั้งยังทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ครั้นขึ้นเสวยราชย์แล้ว ก็ทรงตั้งให้พระมหาสอน เป็นพระราชาคณะ มีราชทินนามว่า พระอุดมปิฎก และเป็นเจ้าอาวาสวัดหงสารามจนตลอดรัชกาล

    เมื่อสิ้นรัชกาลที่ 3 แล้ว รัชกาลที่ 4 ซึ่งยังผนวชอยู่ ก็ทรงลาสิกขาขึ้นเสวยราชสมบัติ พระอุดมปิฎก ก็ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหงสารามกลับภูมิลำเนาเดิม

    ท่านเจ้าคุณพระอุดมปิฎก รูปนี้มีประวัติที่ควรจารึกไว้ให้ปรากฏ คือ เมื่อรัชกาลที่ 4 ขึ้นเสวยราชสมบัติแล้ว ท่านกลัวว่าราชภัยจะมาถึงตน เพราะเคยมีปฏิกิริยาคัดคัานการทรงตั้งคณะธรรมยุติกนิกายอย่างแรงกล้า จึงรีบลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหงสาราม กลับไปอยู่ในภูมิลำเนาเดิม

    ครั้นถึงงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ทรงรับสั่งให้สืบหา พระอุดมปิฎกครั้นทรงทราบว่า ท่านจำพรรษาอยู่ ณ วัดสุนทราวาส (สนทรา) จ. พัทลุง จึงทรงรับสั่งให้อาราธนามาในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา โดยให้เป็นภาระหน้าที่ของคณะข้าราชการ กรมการจังหวัดเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเดินทาง (โดยทางเรือ) ทุกประการ

    ท่านจึงเดินทางมาตามหมายกำหนดการ ครั้นถึงวันพระราชพิธี พระอุดมปิฎก เข้านั่งประจำที่ เป็นองค์สุดท้ายปลายแถว ถึงเวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมโดยลำดับ นับตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชลงมาจนถึงพระอุดมปิฎก ทรงโสมนัสยิ่งนัก ทรงทักทายด้วยความคุ้นเคย ตอนท้ายทรงรับว่า ท่านเดินทางมาแต่ไกล นานปีจึงจะได้พบกัน ขอจงให้พรโยมให้ชื่นใจเถิด

    เมื่อได้รับอนุญาตจากสมเด็จพระสังฆราชแล้ว ท่านเจ้าคุณก็ตั้งพัดยศขึ้นถวายพระพรด้วยปฏิภาณโวหารว่ากลอนสดเป็นภาษาบาลีว่า

    อติเรกวสฺสสตํ ชีว
    อติเรกวสฺสสตํ ชีว
    อติเรกวสฺสสตํ ชีว

    ทีฆายุโก โหตุ อโรโค โหตุ
    ทีฆายุโก โหตุ อโรโค โหตุ

    สุขิโต โหตุ ปรมินฺทมหาราชา

    สิทฺธิกิจฺจํ สิทฺธิกมฺมํ สิทฺธิลาโภ ชโย นิจฺจํ

    ปรมินฺทมหาราชวรสฺส ภวตุ สพฺพทา ขอถวายพระพร.

    เนื่องจากท่านไม่ได้เตรียมไว้ก่อน เพราะไม่รู้ว่าจะต้องถวายพระพร จึงว่าติดเป็นระยะ ๆ วรรคแรกว่าซ้ำถึง 3 หน จึงว่าวรรคที่สองต่อไปได้ ว่าวรรคที่สองซ้ำถึง 2 หน จึงว่าวรรคที่สามต่อไปได้ และว่าไปได้ตลอดจนจบโดยมิได้ซ้ำอีกเลย

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสดับแล้วทรงโปรดพระพรบทนี้มาก จึงทรงรับสั่งให้ถือเป็นธรรมเนียม ให้พระสงฆ์ใช้พรบทนี้ถวายพระพรพระมหากษัตริย์ในพระราชพิธีทั้งปวงตราบเท่าทุกวันนี้โดนมิได้ตัดตอนแก้ไขแต่ประการใด แม้คำที่ท่านว่าซ้ำสองสามหน ก็รักษาไว้เหมือนเดิมเรียกว่า ถวายอดิเรก แต่ได้ทรงเพิ่มคำว่า ตุ ต่อท้ายคำว่า ชีว เป็น ชีวตุ สืบมาจนบัดนี้

    โดยที่พระอุดมปิฎก ผู้เป็นต้นเหตุถวายพระพรบทนี้เป็นพระราชาคณะ ดังนั้นจึงได้ถือเป็นธรรมเนียมสืบมาว่า พระผู้ที่จะถวายอดิเรกได้นั้น ต้องมีสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ธรรมเนียมนี้ได้รักษามาเป็นเวลาช้านาน แต่ปัจจุบันนี้ (ตั้งแต่ พ.ศ. 2510) ทางการคณะสงฆ์ได้อนุญาตให้พระครูชั้นสัญญาบัตรชั้นเอกผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ซึ่งถือพัดยศเปลวเพลิงเป็นผู้ถวายอดิเรกได้โดยอนุโลม นับได้ว่าพระอุดมปิฎก เป็นต้นบัญญัติแห่งการถวายอดิเรกด้วยประการฉะนี้

    ที่มา : หนังสือฉลองอนุสรณ์สถาน พระอุดมปิฎก (สอน พุทฺธสโร)

    ( http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?topic=651.0 )

    ตอบลบ